หลักการและเหตุผล
การถวายเทียนพรรษา
และผ้าอาบน้ำฝน
เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อมาแต่โบราณ
ในอดีต
นั้น
ความเจริญทางเทคโนโลยีนั้นยังไม่มีให้เห็นเหมือนดังเช่นปัจจุบัน การดำเนินชีวิตต้องอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงสว่างก็ต้องอาศัยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ การหุงหาอาหารก็อาศัยเศษไม้ใบหญ้ามาเป็นเชื้อเพลิงประกอบการปรุงอาหารรับประทาน ในยามค่ำคืนก็ก่อหรือสุ่มไฟให้เกิดแสงสว่าง เพื่อป้องกันสัตว์ร้าย เพื่อใช้ควันไล่แมลงต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความอบอุ่นแก่คนและสัตว์
และนอกจากนี้ก็เพื่อที่จะได้ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้สะดวก
ไฟหรือเชื้อเพลิงเป็นส่วนประกอบหนึ่งของการดำเนินกิจกรรมชีวิต ในอดีตยามค่ำคืนที่พระภิกษุสามเณรจะสวดมนต์หรือท่องตำรับตำรา ก็ต้องอาศัยแสงสว่างจากคบ ตะเกียง และเทียนไข ซึ่งสิ่งดังกล่าว
ค่อนข้างที่จะหาค่อนยากและลำบาก
ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันไร่เรี่ยขี้ผึ้งจากผู้มีจิตศรัทธามาหล่อเป็นเทียนและนำไปถวายพระสงฆ์ที่จำพรรษาที่วัดนั้น
ๆ และก็มีความเชื่อว่าการถวายเทียนพรรษาเป็นการให้แสงสว่าง
ซึ่งจะมีอานิสงค์ให้แก่ผู้ถวายมีภูมิปัญญาที่เฉลียวฉลาด
คิดสิ่งใดมีความแตกฉาน ตลอดจนสามารถแก้ไขปัญหาและอุปสรรคนั้น ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์อันเนื่องมาจากได้ให้แสงสว่างแก่พระสงฆ์ และน่าจะมีความสอดคล้องกับที่ว่า “แสงเทียนส่องทาง แสงธรรมส่องปัญญา”
สำหรับผ้าอาบน้ำฝนนั้น
แต่เดิมได้มีพุทธบัญญัติให้พระภิกษุสงฆ์มีผ้าได้เพียง ๓ ผืน คือไตร
จีวร
ได้แก่สบง (ผ้านุ่ง) จีวร (ผ้าห่ม)
และสังฆาฎิ (ผ้าห่มซ้อนนอกใช้ในเวลาอากาศหนาว)
ในช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคมของทุก ๆ ปี จะเป็นฤดูฝน
ซึ่งจะทำให้พระสงฆ์ไม่ได้รับความสะดวกในการ อาบน้ำ เพราะมีผ้าเพียงผืนเดียว ดังนั้น
นางวิสาขาจึงกราบทูลต่อพระพุทธเจ้าเพื่อขอพร ๘ ประการ เพื่อขอถวายสิ่งของต่าง ๆ แก่พระภิกษุ และพร ๘
ประการนี้ก็มีผ้าอาบน้ำฝนรวมอยู่ด้วย
ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นเหตุอันควร
จึงทรงอนุญาตตามที่ขอพร
ด้วยเหตุนี้การถวายผ้าอาบน้ำฝนในวันเข้าพรรษาจึงปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่คนส่วนใหญ่ของประเทศเคารพนับถือ ซึ่งหลักธรรมคำสอนของ
พระพุทธศาสนา สามารถนำมาประพฤติปฏิบัติให้มีความสุขและคลายความทุกข์ได้อย่างมีเหตุและผล
ตลอดจนสามารถพิสูจน์เชิงเหตุและผลได้อย่างแท้จริง คณะกรรมการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ได้พิจารณาเห็นว่า การถวายเทียนพรรษาและผ้าอาบน้ำฝน
เป็นประเพณีอันดีงามและเป็นหนทางหนึ่งที่จะน้อมนำจิตใจของบุคคลเข้าถึงหลักธรรมของพระพุทธศาสนา
ในยุคของโลกาภิวัฒน์โลกทางวัตถุมีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง วัตถุสามารถจับ
ต้องได้ สัมผัสได้
และมองเห็นเป็นรูปธรรม
ด้วยมนุษย์คนเรามีความอยากเป็นพื้นฐานเพื่อให้ชีวิตนี้ดำรงชีพอยู่ได้
จึงเกิดการแกร่งแย่งทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ทั้งในองค์กรระดับเล็ก ๆ
จนถึงองค์กรระดับประเทศและระดับโลก
จึงเกิดเบียนบัง ฉ้อฉล
เอาทรัพยากรของส่วนรวมมาสนองตัณหาความอยากของตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง นั่นคือ “การบริโภคนิยม” สภาพการณ์ที่เราพบเห็นอยู่ในปัจจุบันก็คือเรื่องของราคาน้ำมัน ราคาของสินค้าอุปโภค-บริโภค
มีราคาแพงขึ้นอยู่วันสร้างความเดือดร้อนกันทั่วไป มีการชิงไหวชิงพริบเพื่อ ให้ตนเองได้ประโยชน์สูงสุด
บางครั้งพูด “เอาดีเข้าตัว
เอาชั่วให้ผู้อื่น” จนลืมนึกถึงหลักของคุณธรรมและจริยธรรมที่เป็นกรอปกติกาอันหนึ่งที่เป็นนามธรรมซึ่งถูก
“วัตถุนิยม อำนาจนิยม วาสนานิยม” เบียดบังความคิดความรู้สึกที่ดีของบุคคลทั่วไป และส่งผลให้องค์กรเกิดความวุ่นวายและในทางจิตใจก็เกิดความขุ่นมัวและเศร้าหมองอย่างไม่รู้จบสิ้น